เจาะลึก Audemars Piguet Royal Oak หนึ่งในนาฬิการะดับโลก

เมืองบาเซิล เดือนเมษายน ปี 1972 ในงานนาฬิการะดับโลก Swiss Watch Show (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นงาน Baselworld) Audemars Piguet ได้เปิดตัวนาฬิกาเรือนเหล็ก ที่หลอมรวมกับสายเหล็กอันหรูหราที่ปฏิวัติรูปการดีไซน์ที่เคยมีมาอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ “Royal Oak” นาฬิกาที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความโดดเด่นและความสำเร็จระดับโลกรุ่นหนึ่งเท่าที่เคยมีมา

ย้อนกลับไปในปี 1970 บริษัทนาฬิกา Audemars Piguet ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกับแบรนด์นาฬิกาสวิสอื่นๆทั่วไปที่ต้องเผชิญกับปัญหาภาวะการเงิน เนื่องจากนาฬิการะบบ Quartz จากญี่ปุ่น ได้ทะลักเข้ามาภายในตลาดนาฬิกาทั่วโลกปรากฎการณ์นี้เรียกกันว่า “The Quartz Crisis” ซึ่งทำให้ผู้ผลิตนาฬิกาจากประเทศสวิสคิดไม่ตกว่าจะตีฝ่าวิกฤตที่ทำให้ยอดขายตกออกไปได้อย่างไร

ในปี 1971 บริษัท Audemars Piguet ได้ตระหนักถึงความเป็นจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นคือ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงแบบ “หยุดโลก” แล้ว บริษัทคงไม่สามารถรอดพ้นจากการล้มละลาย และเมื่อได้พิจารณาอย่างละเอียดแล้วว่า ในตลาดนาฬิกาประเทศอิตาลีให้ความสนใจเกี่ยวกับนาฬิกา Luxury ที่ผลิตมาจาก Steel

ออกแบบ Royal Oak

Georges Golay ผู้บริหารของ AP ในสมัยนั้น ได้นัด Gerald Genta ในเวลา 4 โมงเย็น หลังงาน Baselworld ในปี 1971 เพื่อบรีฟงานตามความต้องการที่จะให้ออกแบบนาฬิกาที่มีความสปอร์ต สามารถใส่ได้ทุกโอกาส และมีความประณีตสวยงามในแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน พร้อมทั้งขอดูแบบในวันรุ่งขึ้น และในเช้าวันรุ่งขึ้น Gerald Genta ก็ได้เสกสรรค์แบบร่างของนาฬิกาที่เรียกว่า “Royal Oak” ซึ่งเขากล่าวในภายหลังว่า ผลงานที่เป็น Master Piece ในอาชีพของเขาคือ “Royal Oak” นั่นเอง

อะไรคือแรงบันดาลใจ

Gerald Genta ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากรูปทรงของหมวกดำน้ำในสมัยนั้น จึงนำมาสร้างสรรค์ให้เป็นดีไซน์ โดยใช้ขอบ Bazel รูปทรงแปดเหลี่ยม ยึดติดกับตัวเรือนโดยใช้สกรูทองรูปทรง 8 เหลี่ยม 8 ตัว มีระบบกันน้ำ หน้าปัทม์สีน้ำเงินลาย petit tappisserie motif หนาเพียง 7 มม. แต่มีขนาดใหญ่เล็กน้อย (ในยุค1970นิยมนาฬิกาเรือนเล็ก) มีขนาดตัวเรือน 39 มม. ผสานกับสายนาฬิกาโลหะที่ทำจากสแตนเลสสตีลซึ่งถูกขัดเกลาขึ้นมาอย่าประณีตและสวยงามได้อย่างลงตัวที่สุด

ต้นแบบ Royal Oak เรือนแรกของโลก

ต้นแบบนาฬิกา Royal Oak ได้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยทองคำขาว เพื่อเก็บรายละเอียดจากงานต้นแบบดีไซน์ของ Gerard Genta เนื่องจากเครื่องมือที่จะใช้ผลิต stainless steel มีต้นทุนสูงเกินไปที่จะสร้างต้นแบบให้ได้ตามที่ Genta ต้องการระบบกลไกของเครื่องต้องเลือกใช้เฉพาะเครื่องที่สวยงามสมบูรณ์แบบจึงได้ใช้เครื่อง Cal.2121 และเครื่องรุ่นนี้ก็ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน ในรุ่น Royal Oak Jumbo ref.15202 ตัวเครื่อง Cal.2121 ได้ถูกดัดแปลงมาจากเครื่อง AP Cal.2020 ซึ่งมีการพัฒนาโดยการเพิ่มฟังก์ชั่นวันที่เข้าไปด้วย

Royal Oak ชื่อนี้มีที่มาจากไหน?.

อย่างที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นแรงบันดาลใจในการออกแบบ Royal Oak มาจากหมวกดำน้ำทองเหลือง Gerald Genta จึงต้องการที่จะให้ตั้งชื่อที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือ Royal Oak เป็นชื่อของเรือรบลำดับที่ 8 แห่งกองทัพเรืออังกฤษ ที่ได้ชื่อมาจากต้นโอ๊คเก่าแก่ที่พระเจ้าชาร์ลที่ 2 ได้หลบเข้าไปอยู่ภายในต้นโอ๊ค(ต้นลักษณะกลวง)เพื่อซ่อนตัวจากกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐสภาช่วงภาวะสงครามกลางเมือง Worcester ในปี คศ.1651

ช่วงเวลาในการเปิดตัว

ในปี 1972 Audemars Piguet ก็ได้เปิดตัว Royal Oak อย่างเป็นทางการในงานนาฬิกาโลก (Basel Fair) ในราคา 3300 สวิสฟรังซ์ แพงกว่านาฬิกาเดรสเรือนทองของ Patek Philippe และแพงกว่า Rolex Submariner 10 เท่า ซึ่งไม่เคยมีปรากฎการณ์เช่นนี้มาก่อน สิ่งเดียวที่ AP บอกคือ คุณค่าของนาฬิกา ไม่มีเพียงแค่วัสดุ แต่มันเป็นการดีไซน์ ,นวัตกรรม และความทรงคุณค่าของเครื่องภายในด้วย แต่นั่นไม่ได้ทำให้ตลาดเห็นด้วย ในเบื้องต้น Royal Oak ถูกวิจารณ์อย่างหนัก ถึงดีไซน์อันยุ่งเหยิง มองเห็นสกรูและแท่นซึ่งไม่มีใครทำ รวมทั้งการเชื่อมต่อสายกับตัวเรือนที่แปลกตา

อย่างไรก็ตาม เสน่ห์และคุณภาพ ของ Royal Oak ก็ไม่อาจถูกบดบังจากเสียงวิพากย์วิจารณ์ได้นาน ในที่สุด Collector ระดับสูง รวมทั้ง Trend setters ทั้งหลายได้เป็นผู้นำในการตอบรับอันนำมาซึ่งความสำเร็จอย่างล้นหลาน จนกลายเป็นสัญญลักษณ์แห่งความสำเร็จของ Audemars Pequet ผู้ผลิตจาก Le Brassus.

Royal Oak ผลิตขึ้นครั้งแรก 1000 เรือนโดยใช้ A-Series ref. 5402 ใช้เวลาขายนานกว่า 1 ปี หลังจากนั้น ก็ผลิตอีก 1000 เรือนโดยใช้ A-Series ก่อนจะเปลี่ยนเป็น B และ C ตามลำดับ ซึ่งในปัจจุบัน A-Series เป็นหนึ่งในรุ่นสุดปรารถนาของนักสะสม ซึ่งจะสังเกตุง่าย ๆ คือ จะมีคำว่า AP อยู่ตรงตำแหน่ง 6 นาฬิกา ไม่เหมือนกับรุ่นต่อมาที่ AP จะอยู่ตรงตำแหน่ง 12 นาฬิกา

ที่มา : www.expert-watch.com